วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก คิดถึงเมืองไทยและให้กำลังใจเกษตรกรชาวสวน

 




 


นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์เฟซบุ๊ก ดังนี้ “ขอบคุณของฝากจากเมืองไทยนะคะ ได้ทานทุเรียนแล้วก็อดทำให้คิดถึงเมืองไทย และพี่น้องประชาชนไม่ได้

ช่วงปี 2554 ที่เราเจอวิกฤตอุทกภัย ทุเรียนพันธุ์ดี ๆ หลายพันธุ์ โดยเฉพาะทุเรียนเมืองนนท์ที่สร้างรายได้ให้กับชาวสวนทุเรียน เสียหายจากน้ำท่วม รัฐบาลช่วงนั้นได้จัดสรรงบประมาณเยียวยาพืชสวนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ประกอบกับความตั้งใจของเกษตรกรที่ช่วยกันดูแล และพัฒนา ทำให้ทุเรียนนนท์มีคุณภาพดีขึ้น พร้อม ๆ กับมีการยกระดับคุณภาพทุเรียนอีกหลากหลายพันธุ์ให้ได้มาตรฐานส่งออกมากขึ้น

ส่วนใครจะถูกใจกับรสชาติพันธุ์ไหนก็ไม่ว่ากัน ส่วนตัวดิฉันชอบทุเรียนพันธุ์ดั้งเดิม อย่างหมอนทอง ชะนี ก้านยาว หลิน หลงลับแล เพราะมีรสชาติแบบกรอบนอกแต่เนื้อด้านในมีสัมผัสนุ่ม ซึ่งปัจจุบันปลูกได้เกือบทุกภาคทั่วประเทศ บางพื้นที่ใช้เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำเข้ามาช่วยวัดค่าดิน วัดการใช้ปุ๋ย และคาดการณ์ผลผลิต ทำให้รสชาติมีเอกลักษณ์เฉพาะมากขึ้น เนื้อทุเรียนนุ่มละมุน หอมหวาน รสเข้มข้น ขายได้ราคาดี บางลูกราคาเป็นหมื่นเป็นแสน พอผลผลิตคุณภาพดีแบบนี้ก็มีการจองล่วงหน้า

เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำในปัจจุบันมีพัฒนาเป็นแอปออกมาหลายตัว หากพี่น้องเกษตรกรบ้านเราให้ลูกหลานทดลองใช้แอปเหล่านี้ รวมทั้งแอปเกษตรล่วงหน้ากับสินค้าเกษตรอื่น ๆ ได้บ้าง ก็จะพัฒนาให้สินค้าเกษตรนั้น ๆ เป็นสินค้าเกษตรเฉพาะตัว มีอัตลักษณ์พื้นถิ่น สอดคล้องกับเทรนด์ความต้องการของตลาดโลกก็น่าจะช่วยยกระดับราคาสินค้าเกษตรส่งออกด้วยค่ะ

และในช่วงเวลาแบบนี้ หากใครยังพอไหว ก็ขอให้ช่วยกันอุดหนุนผลไม้ตามฤดูกาลแบบนี้ เพื่อช่วยเกษตรกรที่กำลังลำบากกันนะคะ”

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

“ทวี สอดส่อง” ลงพื้นที่ชุมชนเขตประเวศ เป็นห่วงประชาชน ประสบปัญหา “ถูกเลิกจ้าง-ว่างงาน"

 


(29 พฤษภาคม 2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรคประชาชาติ พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่ เยี่ยมและมอบสิ่งของกับ “ชุมชนดอกไม้” เขตประเวศ กรุงเทพฯ ด้วยมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้มีผู้นำชุมชน ผู้แทนชุมชน และทีมอาสาสมัครตัวแทนรับมอบข้าวสาร อาหารปรุงสำเร็จ อาหารแห้ง ปลากระป๋อง น้ำดื่มบรรจุขวด แอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ รวมทั้งฟักทองจากเกษตรกรผู้ปลูกฟักทองจาก ตำบลบ่อสลี อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นของเยี่ยมให้กำลังใจ

 

พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง กล่าวว่า “ชุมชนดอกไม้ มีประชากร ประมาณ 700 คน จำนวน 157 ครัวเรือน ที่ดั่งเดิมเป็นทุ่งทำการเกษตร เปลี่ยนแปลงต่อมาจากการสร้างถนนมอเตอร์เวย์ บางปะอิน-สนามบินสุวรรณภูมิ ตัดผ่านชุมชนทำให้แยกชุมชนออกเป็น 2 ฝั่งถนน เมื่อถนนสร้างเสร็จการไปมาหาสู่คนภายในชุมชนต้องใช้สะพานลอยข้ามมอเตอร์เวย์และทางกลับรถใต้ถนนมีความยากลำบากกว่าอดีต อาชีพของชุมชนได้เปลี่ยนไป เช่น ทำงานในอุตสาหกรรม อาชีพเลี้ยงปลาในบ่อปลา เปิดร้านอาหาร หมู่บ้านจัดสรร บ้านให้เช่า”

 

“สิ่งที่ชาวชุมชนกังวลใจจากวิกฤติแพร่เชื้อโควิด -19 ด้านสุขภาพแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง อาชีพการงาน ที่โรงงานหลายแห่งปรับลดพนักงาน ต้องปิดกิจการ “ปัญหาว่างงาน” กำลังจะตามมา การหางานใหม่เป็นเรื่องยากมาก ชุมชนจึงรวมตัวช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยตนเอง เพราะไม่มีใครรู้ปัญหาชุมชนดีเท่ากับคนในชุมชน ได้รับฟังปัญหา ข้อคิดเห็น ที่เป็นประโยชน์และจะนำข้อมูลที่เป็นปัญหาให้ทุกฝ่ายทราบและช่วยกันแก้ไขปัญหาต่อไปครับ” พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง กล่าว

“จาตุรนต์” โต้ “วิษณุ” อย่าเอา “ยุบสภา” มาขู่สภาผู้แทนราษฎร!

 



นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรึถึงกรณีให้ข่าวว่าถ้าร่างพระราชกำหนดกู้เงิน 5 แสนล้านบามไม่ผ่านการพิจารณาจากสภาแล้ว นายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจยุบสภาว่าเป็นการข่มขู่สภาผู้แทนราษฎรอย่างน่ารังเกียจ โดยมีข้อความว่า

 

“การที่รองนายกฯ มาบอกว่าถ้า พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ไม่ผ่านสภา นายกฯ ต้องยุบสภา เป็นการข่มขู่เอาแต่ได้อย่างน่าเกลียด

 

ในอดีตกฎหมายสำคัญของรัฐบาลไม่ผ่านสภา ไม่ได้ทำให้นายกฯ ต้องยุบสภาเสมอไป บางครั้งนายกฯ ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบก็มี

 

เนติบริกรที่ถูกผู้คนมองเป็นไม้หลักปักขี้เลนมานานแล้ว วันนี้ถึงกับข่มขู่ผู้แทนปวงชนชาวไทย ข่มขู่สภาผู้แทนราษฎร ทำนองว่า ถ้าสภาไม่ผ่าน พ.ร.ก.ฉบับนี้อาจมีการยุบสภานั้น อาการหนักมากแล้ว

 

 

พ.ร.ก.กู้เงิน ฉบับนี้ รัฐบาลใช้อำนาจออกมาประกาศใช้ ก่อนที่จะส่งไปให้สภาพิจารณาในภายหลัง ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องออกเป็น พ.ร.ก.ก็ได้ เพราะไม่ได้เร่งด่วนขนาดที่สภาพิจารณากันตามปรกติไม่ได้

 

การออก พ.ร.ก.ครั้งนี้มีลักษณะมุบมิบไม่โปร่งใสตั้งแต่ต้น หากตามข่าวก็จะพอทราบว่ามีการนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. แบบลับๆ ไม่มีการแจ้งรายละเอียดใดๆ ให้ประชาชนทราบมาก่อน กระทั่งสื่อมวลชนตรวจสอบพบและเปิดเผยข้อมูลออกมาประชาชนถึงทราบ

 

 

เมื่อพิจารณารายละเอียดงบประมาณที่ใช้ก็ไม่สอดคล้องกับปัญหา รัฐบาลยังคงทำแบบเดิมๆ ที่แก้ปัญหาตรงจุด ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็ทำแบบนี้ แล้วก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ใช้งบประมาณไปมากเท่าไรก็ยังแก้ไขปัญหาโรคระบาดไม่ได้ ที่ร้ายยิ่งกว่าก็คือ ไม่ได้ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจใดๆ เลย พี่น้องประชาชนยังต้องเผชิญกับโรคระบาดและวิกฤตเศรษฐกิจสาหัสสากรรจ์อยู่ทุกวัน

 

หากสภาจะคว่ำ พ.ร.ก.ฉบับนี้ ก็เป็นเรื่องมีเหตุผลและสามารถทำได้

 

ที่สุดแล้ว ถ้า พ.ร.ก.ฉบับนี้ไม่ผ่านความเห็นชอบของสภา นายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก”

“พิชัย” ย้ำ “ประยุทธ์” บริหารด้วยการโดนด่า ลดกู้เหลือ 5 แสนเพราะถูกด่าหนัก




พิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวในงานเสวนา “งบ 65 ผิดทิศผิดทาง ผิดที่ผิดเวลา” ที่พรรคเพื่อไทย ว่า ถ้าจะพูดถึงงบประมาณก็ต้องพูดถึงเงินกู้ 5 แสนล้านบาท ที่พลเอกประยุทธ์จะกู้เพิ่มด้วย เพราะเป็นการใช้เงินนอกงบประมาณจำนวนมาก ทั้งนี้ แต่แรก ครม. ได้เห็นขอบ พรก. เงินกู้ 7 แสนล้าน ที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง ทั้งที่ รมว. คลัง เพิ่งยืนยันว่าไม่ต้องกู้เพราะมีเงินพอถึง 3.8 แสนล้านบาท แต่ก็ขอกู้เพิ่มจนได้และมากด้วย แต่พอถูกสังคมตำหนิอย่างรุนแรง และมีคนทักท้วงกันอย่างมาก รวมถึงตัวผมเองด้วย พลเอกประยุทธ์จึงลดลงมาเหลือ 5 แสนล้านบาท ยิ่งตอกย้ำการดำเนินการที่ไม่มีแบบแผน ถูกด่าจึงคิดแก้ไข บริหารด้วยการถูกด่า ทำให้สงสัยว่ามีการเตรียมการใช้เงินกู้อย่างไรถึงลดได้ทันที แต่ถึงแม้จะลดการกู้ลงแต่หนี้สาธารณะก็คงจะยังพุ่งสูง และจะเป็นปัญหาสำหรับประเทศในอนาคต 


ดังนั้น การวิเคราะห์วิจารณ์ งบ 65 จึงจำเป็นต้องวิเคราะห์วิจารณ์ พรก. เงินกู้ 5 แสนล้าน ควบคู่กันไปด้วย โดยการใช้เงินทั้ง 2 จำนวนดังกล่าวจะสะท้อนถึง 5 ปัญหาดังนี้


1. ล้มเหลว งบประมาณปี 65 สะท้อนความล้มเหลวของรัฐบาลในอดีตจนถึงปัจจุบัน จากการที่พลเอกประยุทธ์บริหารประเทศ 7 ปี แต่เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมากมาตลอด ทำให้การเก็บรายได้ไม่เข้าเป้ามาเกือบทุกปี จึงส่งผลให้ต้องปรับลดงบประมาณในปี 65 ลง 1.85 แสน หรือ 5.6% แต่ก็ต้องมาออก พรก. เงินกู้ 5 แสนล้านบาทเพิ่มเติม ซึ่งทำให้หนี้ของประเทศเพิ่มขึ้นอีกมาก 

2. เสื่อมถอย เพราะกู้มากกว่าลงทุน ซึ่งนอกจากจะลดงบประมาณแล้วยังมีการกู้มากกว่าลงทุน คือ กู้มาใช้ ซึ่งปกติงบประมาณจะต้องมีการลงทุนมากกว่ากู้เพื่อจะได้มีรายได้ในอนาคตและประเทศจะได้พัฒนา นอกจากจะกู้ 7 แสนล้าน แต่ลงทุนแค่ 6 แสนกว่าล้านแล้ว ยังจะมี พรก. กู้อีก 5 แสนล้านบาท ซึ่งเเรียกได้ว่ากู้มาใช้เกือบทั้งหมดไม่ได้มีการลงทุนเลย หรือ อาจจะมีการลงทุนบางส่วนจาก 1.7 แสนล้านบาทที่จะฟื้นเศรษฐกิจ ซึ่งก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปใช้ทำอะไรบ้าง จะล้มเหลวเหมือนการใช้ในอดีตอีกไหม 

3. หนี้ล้น งบประมาณปี 2565 จะต้องกู้ 7 แสนล้านบาท และจะมี พรก. เงินกู้อีก 5 แสนล้านบาท การเก็บรายได้ปีนี้ก็จะลดลงอีก กว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะของประเทศพุ่งขึ้นเกิน 9 ล้านล้านบาท และ จะทะลุเพดานที่ 60% ซึ่งจะไทยจะมีปัญหาการใช้หนี้เพราะรัฐมีรายได้เพียง 15% ของจีดีพี ซึ่งต่ำมาก การที่กู้มากจนได้ฉายา “ดีแต่กู้” หรือ “รัฐบาลเวรี่กู้” แต่ไม่มีปัญญาหารายได้จะนำประเทศสู่วิกฤติเศรษฐกิจซ้อนวิกฤติโควิดต่อเนื่องระยะยาวในอนาคต 

4. ใช้เงินไม่มีประสิทธิภาพ การใช้งบประมาณ ปี 65 ยังติดกรอบเดิมที่มีการใช้เงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพมาตลอด 7ปี พิสูจน์ได้จากสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศที่เพิ่มขึ้นซึ่งหมายความว่า ใช้เงินมากใช้แล้วกว่า 20.8 ล้านบาท แต่เศรษฐกิจไม่ขยายตัว ตลอด 7 ปี จีดีพี โตเฉลี่ยเพียง 1% กว่าเท่านั้น ซึ่งต่ำมาก อีกทั้งหนี้ครัวเรือนก็เพิ่มขึ้นมาตลอดทุกปี แสดงว่าประชาชนจนลงต้องกู้เพิ่มและอาจจะไม่มีปัญญาใช้หนี้แล้ว จนทำให้หนี้ครัวเรือนพุ่งขึ้นถึง 92% แล้ว งบประมาณทางการทหาร และความมั่นคง การซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ไม่มีผลต่อเศรษฐกิจมีสัดส่วนที่สูงมาก และเพิ่มขึ้นมาตลอด แม้ปีนี้งบกลาโหมจะลดลง 11,000 ล้านบาท แต่กลับมีข่าวว่าจะซ่อนการใช้เงินเพิ่มอยู่ใน พรก. 5 แสนล้านนี้ ทั้งนี้การใช้เงินนอกงบประมาณจะตรวจสอบยากเพราะไม่มีกรอบการใช้ที่ชัดเจน เปิดช่องทางให้มีการทุจริตได้ง่าย การใช้เงิน 1 ล้านล้าน คราวที่แล้วก็ยังไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดเลย ใช้แล้วเศรษฐกิจกลับยิ่งทรุด ไตรมาสแรกยังติดลบ 2.6%  ยิ่งตอกย้ำความไม่มีประสิทธิภาพ

5. ไม่สามารถแยกแยะจัดลำดับความสำคัญได้ ทั้งนี้ เป็นที่พิสูจน์แล้วว่าพลเอกประยุทธ์ขาดความรู้ความสามารถไม่สามารถแยกแยะจัดลำดับความสำคัญในเรื่องต่างๆได้ จึงทำให้ประเทศย่ำแย่ได้ขนาดนี้ โดยเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนคือเรื่อง การบริหารจัดการวัคซีน ที่ยังเป็นปัญหาอยู่จนถึงปัจจุบัน ความไม่สามารถแยกแยะจัดลำดับความสำคัญยังเป็นปัญหาของการจัดงบประมาณปี 65 ที่ควรตัดกลับไม่ตัด มาตัดในเรื่องที่ไม่ควรตัดเช่น งบการศึกษาที่ไทยต้องพัฒนาให้เด็กฉลาดขึ้น งบกระทรวงแรงงานที่คนตกงานจะมาก งบสาธารณสุขและบัตรทองที่การเจ็บป่วยของคนน่าจะมากขึ้น เป็นต้น ในขณะที่งบความมั่นคงกลับตัดน้อยมาก และสงสัยกันว่าน่าจะมีการนำเงินกู้ 5 แสนล้านไปแอบโปะให้ด้วย เป็นต้น ดังนั้นพลเอกประยุทธ์จะต้องพัฒนาวิสัยทัศน์ให้ทันโลกเพื่อจะสามารถจัดสรรงบประมาณ ให้ประเทศไทยพัฒนาเข้ากับโลกอนาคตได้ 

นี่เป็นปัญหาใน 5 ด้านที่สะท้อนมาจากการจัดงบประมาณปี 65 และ การกู้เงินอีก 5 แสนล้านบาท ซึ่งหากจะลงในรายละเอียดคงมีอีกมาก ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้รับฟังและนำไปศึกษาเรื่องเหล่านี้ ซึ่งที่ผ่านมาสิ่งที่ตนเสนอแม้อาจจะไม่ถูกใจแต่ก็ต้องถามว่าเป็นความจริงใช่หรือไม่ วิกฤตการณ์ไวรัสโควิดที่จะส่งผลให้เป็นวิกฤตการณ์เศรษฐกิจต่อเนื่องและยาวนานพลเอกประยุทธ์จึงจะต้องวางแผนการฟื้นเศรษฐกิจให้ดี อย่าคิดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นเองได้ เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว หากไม่มีการบริหารจัดการและวางแผนให้ดีเศรษฐกิจไทยจะไม่สามารถฟื้นได้ หรือ ฟื้นช้ามากจนประเทศอื่นจะแซงไทยไปหมด ซึ่งตอนนี้ก็โดนหลายประเทศแซงไทยไปไกลแล้ว ซึ่งจะทำให้ประชาชนลำบากกันอย่างยาวนาน

เฮียล้าน "สุทธิชัย วีรกุลสุนทร" ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. เขตจอมทอง พรรคเพื่อไทย มอบอาหารปรุงสุกให้โรงพยาบาลผู้สูงอายุ บางขุนเทียน

 







เฮียล้าน "สุทธิชัย วีรกุลสุนทร" ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. เขตจอมทอง พรรคเพื่อไทย และภรรยา นำอาหารปรุงสุก พร้อมน้ำขิง จำนวน 250 ชุด มอบให้โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน เพื่อนำไปแจกจ่ายไปยังบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ใช้บริการ เพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้กับด่านหน้าที่ต่อสู้ช่วยเหลือผู้ป่วย รวมทั้งผู้สูงอายุที่พักรักษาตัวที่รพ.แห่งนี้ พร้อมให้กำลังใจทุกท่านผ่านวิกฤตโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย


วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

สุดหดหู่! เผายายติดเชื้อโควิดวัย 84 สุดเดียวดาย ครอบครัว 14 ชีวิตติดโควิดหมด ไม่มีโอกาสร่ำลา

 




นางสาวทัดดาว ตั้งตรงเจริญ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เขตราชเทวี พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กไอดี ทัดดาว ตั้งตรงเจริญ ภาพบรรยากาศงานฌาปนกิจศพคุณยายวัย 84 ปีที่เสียชีวิตจากโรคระบาดโควิด-19 โดยต้องฌาปนกิจศพอย่างเดียวดาย โดยลูกหลานอีก 14 คน ไม่สามารถมาร่วมงานได้เนื่องจากติดเชื้อโควิดหมดทุกคนและอยู่ระหว่างรักษาตัว และกักตัวในโรงพบาบาล จึงมีเพียงแค่เพื่อนบ้านบางส่วนมาร่วมงานศพอย่างเงียบเหงา โดยมีรายละเอียดดังนี้



“วันนี้ดาวเดินทางไปยังวัดมักกะสันเพื่อเคารพร่างที่ไร้วิญญาณของแม่ใหญ่ นกแก้ว ที่ถึงแก่กรรมเพราะ covid-19


บ้านนี้เป็นครอบครัวใหญ่ อยู่รวมกันในบ้าน 15 คน มีผู้พบเชื้อทั้งหมด 13 คน คนที่มีอาการหนักที่สุดคือแม่ใหญ่เพราะอายุเยอะที่สุด เป็นผู้สูงอายุเพียงคนเดียวในบ้าน พบเชื้อ และไปทำการรักษาตัวตั้งแต่ช่วงต้นเดือน จนมาถึงวันนี้ วาระสุดท้ายของชีวิตแม่ใหญ่ไม่มีคำพูดจาหรือกระทั่งคำบอกลา ครอบครัวต้องแยกตัวกันรักษาตัว บางคนรักษาหายแล้ว และกลับบ้านแล้ว แต่บางคนยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ญาติที่มาร่วมงานได้แต่ยืนมองโลงที่บรรจุร่างที่ไร้วิญญาณของแม่ใหญ่ขึ้นไปบนเมรุกันอยู่ห่างๆแค่นั้น


นี่เป็นการมาร่วมงานฌาปนกิจที่หดหู่เกินกว่าจะสามารถบรรยายออกได้เป็นตัวหนังสือ


เรื่องโรคภัยเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ covid-19 นั้นควรป้องกันได้ มาตรการในการรับมือควรต้องดีกว่านี้เพราะนี่ไม่ใช่ covid แรก แต่เป็น covid ที่ 3 ที่ประชาชนคนไทยตาดำๆต้องเผชิญเพราะความหละหลวมจากภาครัฐ


การระบาดทั้ง 3 รอบล้วนแล้วแต่เกิดจากคนฝ่ายรัฐทั้งนั้น รัฐบาลบริหารล้มเหลวในทุกด้านไม่ว่าจะเรื่องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ปัญหาเศรษฐกิจล้มเหลวที่หมักหมมมากว่า 7 ปี ปัญหาการป้องกันการระบาดของ covid-19



ปัญหาเรื่องวัคซีนที่คุณภาพต่ำ และไม่เพียงพอให้กับประชาชน จนไปถึงมาตรการการแก้ไขปัญหาที่พังในทุกๆทางแล้วก็ได้แต่โทษคนอื่น ไม่เคยมองเห็นถึงความผิดพลาดของพวกตัวเอง ไม่รู้การถอดบทเรียนเหมือนตั้งใจให้เกิดการระบาดเพื่อเป็นประโยชน์กับพวกของตน


ไม่ควรมีใครต้องป่วย ไม่ควรมีใครต้องตาย ไม่ควรมีใครต้องแบกรับปัญหาต่างๆนาๆซึ่งเป็นผลพวงจาก covid-19



รัฐบาลต้องมีความจริงใจกับประชาชน ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ไม่จบไม่สิน


ถ้าผู้นำตาย พวกเราจะรอดกันหมด


ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของแม่ใหญ่มา ณ ที่นี้ค่ะ”

 

 

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

นายนวรัตน์ อยู่บำรุง ส.ก.หนองแขม 6 สมัย ลงพื้นที่ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิดพื้นที่แขวงหนองแขมและแขวงหนองค้างพลู

 








นายนวรัตน์ อยู่บำรุง ส.ก.หนองแขม 6 สมัย และว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เขตหนองแขม พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคโควิด-19 ในพื้นที่แขวงหนองแขมและแขวงหนองค้างพลู โดยให้กำลังใจพี่น้องประชาชนในเขตหนองแขม และเขตหนองค้างพลู พร้อมกับแนะนำให้ชาวบ้านดูแลรักษาตนเองให้ปลอดภัยด้วยวิธีง่ายๆ เช่น การล้างมืออย่างสม่ำเสมอ สวมหน้ากากอนามัย เลี่ยงสถานที่แออัด เต็มไปด้วยผู้คน ไม่สัมผัสสัตว์ป่วยหรือตาย ในขณะทีสิ่งที่ไม่ควรทำ คือ การสัมผัส หู จา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น หรือการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว ช้อน เป็นต้น


“ลุงสามล้อ” ติดโควิด-19 จากคลัสเตอร์ตลาดศาลาน้ำร้อน พบอยู่บ้านเช่ากับแรงงานต่างด้าว วอนรัฐเข้าตรวจเชิงรุกด่วน

 




(26 พฤษภาคม 2564) นายชัชนภ นักสอน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เขตบางกอกน้อย พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่าศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทย เขตบางกอกน้อยได้รับการประสานมาว่า คุณลุงประพันธ์ อายุ 63 ปี มีอาชีพขับรถสามล้อขนส่งของและพ่อค้าแม่ค้าในตลาดศาลาน้ำร้อน ย่านจรัญสนิทวงศ์ เขตบางกอกน้อย ซึ่งเป็นจุดคลัสเตอร์จุดหนึ่งของฝั่งธนบุรี ได้ไปตรวจเชื้อเชิงรุกและพบว่าตนเองได้รับเชื้อโควิด-19 จึงประสานงานขอความช่วยเหลือ เนื่องจากว่าคุณลุงประพันธ์ พักอยู่ในห้องไม้แบ่งเช่า ในซอยจรัญสนิทวงศ์22 ในบ้านพักมีห้องซอยย่อยอีกนับสิบห้อง และมีแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในตลาดศาลาน้ำร้อนร่วมพักอาศัยอยู่ด้วยแต่กลุ่มแรงงานต่างด้าวยังไม่ได้รับการตรวจเชื้อ  จึงกังวลว่าตนเองจะแพร่เชื้อไปยังแรงงานต่างด้าวที่อาศัยร่วมอาคารและอาจจะทำให้เชื้อระบาดไปได้

.

นายชัชนภ กล่าวว่าเมื่อตนเดินทางไปบ้านเช่าพบว่าเป็นบ้านไม้ มีแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในตลาดสดหลายแห่งในย่านฝั่งธนฯ อาศัยอยู่รวมกันทั้งชั้นบนชั้นล่าง คุณลุงประพันธ์ได้รับการตรวจเชื้อเชิงรุกและทราบว่าติดเชื้อโควิดเริ่มมีอาการไอ จึงรีบประสานงานส่งตัวลุงประพันธ์ไปโรงพยาบาล และมอบถุงยังชีพพรรคเพื่อไทย ประกอบด้วยอาหารแห้ง ขนม ของใช้จำเป็นให้คุณลุงประพันธ์นำไปใช้ที่โรงพยาบาลสนามแล้ว

 .

“สิ่งที่น่ากังวลขณะนี้คือ กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่อาศัยในบ้านเช่าหลังนี้ และหลังอื่นๆในย่านจรัญสนิทวงศ์  ทราบเบื้องต้นว่าหลายคนยังไม่ได้รับการตรวจเชื้อและมีความเสี่ยงมากเนื่องจากทำงานอยู่ในตลาดศาลาน้ำร้อนซึ่งเป็นคลัสเตอร์แพร่เชื้อหลายคน จึงอยากประสานสำนักงานเขตได้ลงมาตรวจสอบเชิงรุกและจัดให้แรงงานต่างด้าวเหล่านี้เข้าตรวจหาเชื้อเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กลุ่มแรงงานต่างด้าวในตลาดสดแพร่เชื้อลุกลามออกไปมากกว่านี้”  นายชัชนภ กล่าว.

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

โรงแรมข้าวสารหมดสายป่าน! เจ้าของครวญอยากตายก็ไม่ได้ จำนำทรัพย์สินเกลี้ยงหมดทุกอย่าง “เหมือนเชือกรัดคอแน่นไปเรื่อยๆ”

 


 

สมาชิกเว็บไซต์พันทิพคนหนึ่ง เขียนกระทู้ลงในเว็บไซต์ว่า “ทำอย่างไร เหลือเงินสดก้อนสุดท้ายแล้ว” โดยเล่าว่าลงทุนทำโรงแรมขนาดเล็กที่ถนนข้าวสารโดยเอาทรัพย์สินจากครอบครัวมาลงทุน แต่จากสถานการณ์โควิด ทำให้โรงแรมของตนปิดมากว่า 2 ปี ไม่มีรายได้ จนตอนนี้มีแต่รายจ่าย 1 ล้านบาทต่อปี แต่ไม่มีรายได้เลยสักบาทเดียว โดยมีข้อความว่า

“ผมทำธุรกิจโรงแรมขนาด 25 ห้องแถวๆ ถ.ข้าวสาร ตอนนี้เปิดก็เหมือนปิดไม่มีคนพักมา 2 ปีแล้วเหลือพนักงาน 2 คนคอยเฝ้าและทำความสะอาดเล็กๆน้อย

จนมาถึงตอนนี้ผมหมดเงินที่มีและที่คิดว่าจะหาได้มาหมดแล้วจนปัญญา จะปิดเต็มรูปแบบก็ติดที่เป็นที่เช่ากับหน่วยงานรัฐทำให้ไม่สามารถปิดได้

ไม่รู้จะเป็นไงอยากจะตายก็ตายไม่ได้เพราะสิ่งที่ลงทุนไปก็จะละลายเป็นศูนย์ มีภาระผูกพันธ์กับคนข้างหลัง เพราะเงินลงทุนก็มาจากต้นทุนเดิมที่บ้านทิ้งไว้ให้คือตอนก่อนหน้าก็คิดว่ายังไหวจำนำทุกสิ่งอย่างของมีค่าไปหมดแล้ว ก็ไม่รู้จะเป็นไง รถยนต์ที่ขายได้ขายไปหมดแล้วตอนนี้ขับรถกระบะเก่าๆคันหนึ่งอยู่

ขอเล่าเพิ่มเติมผมมีส่วนที่เป็นหนี้สินทั้งหมด 6-7 ล้านบาท ทรัพย์สินในรูปอสังหาริมทรัพย์รวมประมาณ 60 ล้านบาท(แต่มันไม่ใช่เงินสดบางส่วนเป็นกรรมสิทธิการเช่า ประกาศขายสิทธิและก็ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินเปล่ายังไม่มีใครสนใจ) รายจ่ายต่อเดือนก็รวมได้ 1-1.25 แสน/เดือน (ค่าเช่า,ค่าน้ำไฟ, พนักงานและที่สำคัญค่าดอกเบี้ยธนาคารและนอกระบบ) รายรับผมมีจากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ซึ่งไม่เกี่ยวกับโรงแรมประมาณ 0.75 แสนบาท/เดือน คือเฉลี่ยติดรบประมาณ 7-8 หมื่นบาท อันนี้ยังมี fix cost รายปีเช่น ค่าตรวจบัญชี ค่าประกัน ค่าภาษี และอื่นๆ

เอาเป็นตอนนี้จนปัญญามาถึงปลายทาง  มันเหมือนโดนขึงคอกับไม้ในแต่ละเดือนก็เหมือนโดนขันเชือกให้มันแน่นรัดคอไปเรื่อยๆ จนผมคิดว่าปลายทางแล้ว ส่วนหนึ่งก็คิดไปเรื่อยหนีไปบวชทิ้งปัญหา แต่พอมาคิดก็ไม่ได้เพราะคนรู้ปัญหาก็ผมคนเดียวยังตัดใจไม่ได้ ตอบไม่ได้ทำอย่างไรอึดอัด ผมเชื่อว่าหลายคนคงเป็นแบบผม แล้วแต่ความหนักเบาของปัญหา จะถามว่าไปบนให้ช่วยขายที่ก็บนบานศาลกล่าวมาหมด ถือศิลสวดมนต์นั่งสมาธิก็ทำมาครบ ถามว่าจัดการเรื่องธุรกิจ ผมก็ทำเต็มที่(ในความเห็นผม) ในโอกาศที่ทำได้แล้ว ที่จริงกระทู้ผม มันคงคล้ายๆคนอื่น ทุกข์คล้ายๆกันบางทีเรามองคนอื่นทุกข์มากกว่าด้วยซ้ำแต่สำหรับผมมันเกินไปแล้วจริงๆ

ปัจจุบันอายุ 54 ปีเหนื่อยที่จะสู้ต่อ ไม่มีเงินเก็บ"


"มธุรส เบนท์" มอบข้าวเหนียวไก่ทอดและหน้ากากอนามัย จำนวน 250 ชุด ให้ประชาชนเขตสะพานสูง

 






"มธุรส เบนท์" ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. เขตสะพานสูง พรรคเพื่อไทย ร่วมปันน้ำใจ สู้ภัยโควิด กับพี่น้องด้วยการมอบข้าวเหนียวไก่ทอดและหน้ากากอนามัย จำนวน 250 ชุด ให้กับพี่น้องสะพานสูงที่ผ่านไปมาบริเวณตลาดนัดกรุงเทพกรีฑา

โดยมีข้อความว่า กิจกรรม “ปันน้ำใจ สู้ภัยโควิด”

วันนี้ทีมมธุรส แจกข้าวเหนียวไก่ทอดและแมส จำนวน 250 ชุด ให้กับพี่น้องสะพานสูงที่ผ่านไปมาบริเวณตลาดนัดกรุงเทพกรีฑา พวกเราขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับชาวสะพานสูงคะ

ขอขอบคุณสำนักงานเขตสะพานสูงและเจ้าหน้าที่เทศกิจที่มาดูแลตลอดการทำกิจกรรม

ขอบคุณแม่ครัวทุกท่านที่ช่วยจัดเตรียมอาหารอย่างไม่มีคำว่าเหนื่อย

เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

#มธุรสสะพานสูง #ทีมมธุรสเพื่อไทยสะพานสูง #ประธานสภาวัฒนธรรมเขตสะพานสูง #พรรคเพื่อไทยไม่ทอดทิ้งประชาชน


“เพื่อไทย” ชี้ “ประยุทธ์” 7 ปี ไทยเสียหายหนัก หนี้ท่วม ถูกด่าหนักเลยต้องลดกู้เหลือ 5 แสนล้าน

 



(26 พฤษภาคม 2564) นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส. หนองคาย อดีตรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรม และ คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าครบรอบ 7 ปีการปฏิวัติ ประเทศย่ำแย่ทุกด้านโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ พลเอกประยุทธ์ ใช้งบประมาณแล้ว 20.8 ล้านล้านบาท และจะใช้งบประมาณปี 2565 อีก 3.1 ล้านล้านบาท โดยจะกู้ชดเชยงบประมาณถึง 7 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังจะมีการกู้อีก 5 แสนล้านเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งแต่แรกจะกู้ 7 แสนล้านบาท แต่พอถูกตำหนิจากทุกฝ่ายอย่างมากตามฉายา “ดีแต่กู้” จึงต้องลดลงมาเหลือ 5 แสนล้าน แต่ก็ยังมาก และการเก็บรายได้ปีนี้จะไม่ได้ตามคาดหมายอีกกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะทะลุ 9 ล้านล้านบาท และในปีนี้อย่างไรหนี้สาธารณะก็จะพุ่งทะลุเกิน 60% ของจีดีพี เพราะพลเอกประยุทธ์ รู้แต่จะกู้แต่ไม่รู้จักการหารายได้ หนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนหนี้ล้นได้ อีกทั้งหนี้ครัวเรือนก็พุ่งทะลุเกิน 90% แล้ว หนี้เสียธนาคารก็เพิ่มมากขึ้น โดยที่การบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์ มองไปทางไหนก็เห็นแต่หนี้เต็มไปหมด แต่ไม่เห็นทางออกของประเทศที่จะพัฒนาต่อไปได้เลย


7 ปี ที่ผ่านมา เรื่องที่เสียดายที่สุดคือการเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ หากพรรคเพื่อไทยยังบริหารประเทศ อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะสามารถพัฒนาประเทศได้ดีกว่านี้มาก โครงสร้างพื้นฐานของประเทศจะได้พัฒนาในหลายด้าน โดยเฉพาะทางคมนาคม และการศึกษา โดยที่หนี้สาธารณะก็จะไม่เพิ่มมากขนาดนี้ และในฐานะที่เป็นผู้แทนราษฏรจังหวัดหนองคาย เรื่องที่เสียดายที่สุด คือโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จะเชื่อมต่อไปถึงจังหวัดหนองคาย ซึ่งจะพัฒนาจังหวัดหนองคายไปได้อีกมาก ทั้งการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งหากได้มีการก่อสร้างให้แล้วเสร็จก็จะเชื่อมต่อกับเส้นทาง ลาว-จีน ที่จะเสร็จในเดือนธันวาคม 2564 ที่จะถึงนี้ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางการค้าที่จะเกิดขึ้น มูลค่าจากการท่องเที่ยวซึ่งหลังจากผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 นี้ นักท่องเที่ยวจากจีนซึ่งถือว่าเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีการใช้จ่ายเป็นอันดับ 1 ของไทย นักท่องเที่ยวต่างชาติอื่นๆ ที่ต้องการท่องเที่ยวในเส้นทางนี้  ไปจนถึงการดึงเอานักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนในประเทศเอง ถือว่าเรากำลังเสียโอกาสจำนวนมหาศาล ซึ่งจากแผนการของรัฐบาลปัจจุบัน โครงการนี้จะแล้วเสร็จในปี 2572 ซึ่งช้าไปถึง 9 ปี

 

นอกจากนี้ อยากจะแนะนำให้พลเอกประยุทธ์ ได้พัฒนาการค้าชายแดนให้มีการพัฒนาขึ้น โดยอยากให้ข้อมูลดังนี้ ด่านศุลกากรหนองคายระบุว่า ในปีงบประมาณ 2562 ด่านศุลกากรหนองคายมียอดมูลค่าการนำเข้า-ส่งออกระหว่างไทยกับ สปป.ลาว รวม 64,910.74 ล้านบาท เทียบกับปีงบประมาณ 2561 ที่มีมูลค่าการนำเข้า-ส่งออก รวม 60,474.070 ล้านบาท เพิ่มมากขึ้นถึง 4,436.67 ล้านบาท โดยแยกเป็นมูลค่าการส่งออก 55,326.684 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2561 ถึง 3,670.638 ล้านบาท และนำเข้าจาก สปป.ลาว 9,584.056 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2561 เพียง 766.032 ล้านบาท ซึ่งในปีงบประมาณ 2561 มีมูลค่ารวม 60,474.070 ล้านบาท แยกเป็นมูลค่าส่งออก 51,656.046 ล้านบาท และนำเข้าจาก สปป.ลาว 8,818.024 ล้านบาท แต่ผลกระทบของโควิด-19 จากข้อมูลของด่านศุลกากรหนองคายยังพบอีกว่า หลังจากที่จังหวัดหนองคายและ สปป.ลาวได้ปิดจุดผ่อนปรนและจุดผ่านแดนชั่วคราว รวมไปถึงด่านท่าเรือหายโศกในเขตเทศบาลเมืองหนองคายมาตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2563 ห้ามการผ่านเข้า-ออกทั้งรถทั้งคน รวมไปถึงห้ามขนส่งสินค้า ทำให้รถขนส่งสินค้าที่ผ่านเข้า-ออกด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 จังหวัดหนองคาย เพิ่มสูงขึ้นประมาณ 20% และวันที่มีรถขนส่งสินค้ามากที่สุด คือ วันจันทร์และวันศุกร์ มีจำนวน 600-700 คัน ส่วนในวันธรรมดาจะมีจำนวน 30-400 คัน แต่ถึงแม้ตัวเลขรถขนส่งจะเพิ่มขึ้น แต่นั่นหมายความว่าธุรกิจ SME และร้านค้าที่เคยมีคนลาวข้ามมาซื้อของ ตอนนี้เท่ากับไม่มีเลย เพราะไม่สามารถข้ามได้ หลายรายต้องปิดตัวลง เพราะจ่ายค่าเช่าไม่ไหว บางรายต้องหาช่องทางอื่นในการเพิ่มรายได้เพื่อประคองจนกว่าสถาณการณ์จะกลับมาเป็นปกติ ดังนั้นหากพลเอกประยุทธ์ สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดได้ และหันมาเร่งพัฒนาการค้าชายแดนทั้งหมดให้คล่องตัว ไม่ใช่แต่เฉพาะที่จังหวัดหนองคาย ก็จะช่วยพัฒนาและฟื้นเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ และการค้าชายแดนในอนาคตจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการค้าขายระหว่างประเทศในอาเซียนด้วย ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะมีการค้าระหว่างกันถึง 40% ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะมุ่งเน้นนโยบายการค้าชายแดน และ การค้าระหว่างอาเซียนนี้เป็นนโยบายเศรษฐกิจหลักที่จะนำมาพัฒนาประเทศ หากได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เข้ามาบริหารประเทศ

 

7 ปีของการปฏิวัติ ข้อมูลข่าวสารเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลมีมากมาย  แต่ความเสียหายที่มากกว่าการทุจริตคอรัปชั่นคือ การเสียโอกาสของประเทศ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ ที่ขาดความรู้ความสามารถและขาดวิสัยทัศน์ ได้ทำให้ประเทศไทยเสียดายและเสียโอกาสไปอย่างมาก และหากพลเอกประยุทธ์ ยังคงดื้อรั้นที่จะบริหารประเทศอยู่ ประเทศไทยก็จะเสียโอกาสไปเรื่อยๆ จนในที่สุดจะทำให้ประเทศไทยพัฒนารั้งท้ายในอาเซียนควบคู่ไปกับมินอ่องลาย เผด็จการทหารของประเทศเมียนมาร์ที่มีข่าวว่าพลเอกประยุทธ์ ติดต่อกันลับหลังตลอด จนทำให้ภาพลักษณ์ประเทศไทยไม่ต่างจากประเทศเมียนมาร์และมีโอกาสที่จะพัฒนารั้งท้ายคู่กันถ้าพลเอกประยุทธ์ ยังไม่ยอมวางมือ 

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

"ส.ส.เพื่อไทย" ชี้ ในภาวะวิกฤตนี้ ไม่มีผู้นำคนไหนใช้เงินซื้ออาวุธมากกว่าเวชภัณฑ์ทางการแพทย์

 


 

(25 พฤษภาคม 2564) นายภาควัต ศรีสุรพล ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 จำนวน 3.1 ล้านล้านบาท ของรัฐบาล เป็นการจัดงบประมาณที่ไม่มองถึงความต้องการของประชาชน ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องคิดถึงประชาชนมากกว่าผลประโยชน์ของตัวเอง เพราะเวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างความมั่นคงทางสาธารณสุข แต่รัฐบาลกลับมองเพียงแค่การซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อสนองความต้องการของตัวเองและเป็นการใช้ภาษีของประชาชน ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้

 

รัฐบาลต้องกล้าตัดงบประมาณการจัดซื้ออาวุธออกไปทั้งหมด ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ไม่มีผู้นำประเทศไหนใช้เงินซื้ออาวุธมากกว่าเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ เพราะการดูแลพี่น้องประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งจัดหาวัคซีนเพื่อบริการให้ประชาชนได้ฉีดป้องกันไวรัสโควิด เพราะวัคซีนถือเป็นอาวุธสำคัญที่สุดสำหรับคนไทยทุกคนในสถานการณ์การระบาดของไวรัสในเวลานี้

 

นายภาควัต กล่าวด้วยว่า การที่รัฐบาลออกพระราชกำหนดหรือ พ.ร.ก.กู้เงินรอบใหม่ วงเงินไม่เกิน 7 แสนล้านบาท ควรมีรายละเอียดการใช้เงินกู้มากกว่านี้ รัฐบาลต้องสำนึกว่าเงินที่กู้มาเป็นภาษีของประชาชน ไม่ใช่เงินของพลเอกประยุทธ์ ดังนั้นการใช้เงินกู้ต้องโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ พลเอกประยุทธ์ ไม่ควรใช้อำนาจเพื่อปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง ควรพอได้แล้วประเทศไทยเสียหายมามาก พลเอกประยุทธ์จะต้องเสียสละตนเองเพราะการอยู่ในตำแหน่งของพลเอกประยุทธ์ ไม่เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ แต่อย่างใด


“พิชัย” อัด 7 ปี “ประยุทธ์” ล้มเหลวทุกด้าน ชี้ เศรษฐกิจดิ่งเหว สังคมแตกแยก และ การเมืองย้อนยุค เชื่อ หากไม่มีปฏิวัติ ไทยเจริญกว่านี้มาก

 


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวในการอภิปรายออนไลน์ “ไทยไม่ทน” ว่า ครบรอบ 7 ปีการปฏิวัติรัฐประหาร ประเทศไทยเสื่อมถอยทุกด้าน จำได้ว่าวันนี้เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ถูกเรียกตัวปรับทัศนคติครั้งแรกหลังการปฏิวัติ และต้องไปนอนที่ มทบ. 11 และทหารก็มาสัญญาว่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาไม่นานแล้วจะรีบเลือกตั้งกลับสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่ผ่านมา 7 ปี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังสืบทอดอำนาจและเป็นผู้นำอยู่เลย ต่อมาตนถูกเรียกปรับทัศนคติอีก 8 หน ถูกเรียกดำเนินคดี 4 หน รวม 12 หน เพราะเตือนเรื่องเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจก็ย่ำแย่ทรุดลงมาเรื่อย ซึ่ง ผลงานการบริหารประเทศ 7 ปีของพลเอกประยุทธ์ ต้องเรียกว่า “ล้มเหลว” ในทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และ การเมือง โดยขออธิบายดังนี่

 

ล้มเหลวทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาตลอด ยิ่งพอพลเอกประยุทธ์มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเอง เศรษฐกิจกลับยิ่งทรุดหนัก เศรษฐกิจไทย 7 ปี ขยายตัวเฉลี่ยได้เพียงปีละ 1% กว่าเท่านั้น หนี้สาธารณะไทยจะพุ่งเกิน 9 ล้านล้านบาท และ จะทะลุเพดาน 60% หนี้ครัวเรือนทะลุ 92% แล้ว และ ยังพุ่งต่อ ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มกังวลต่อหนี้เสียที่มากขึ้น ธุรกิจเจ๊งปิดตัวกันมาก การว่างงานพุ่งสูง รายได้ของประชาชนลดลงกันถ้วนหน้า การเก็บรายได้ของรัฐลดลง และยังไม่มีทิศทางทึ่พลเอกประยุทธ์จะฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างไร

 

ล้มเหลวทางสังคม สังคมแตกแยกมาก รัฐบาลใช้ไอโอในการโจมตีคนเห็นต่างสร้างความแตกแยกมากยิ่งขึ้น มีการจับกุมคนเห็นต่าง คนรุ่นใหม่หมดความหวัง อยากจะย้ายไปอยู่ประเทศอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงว่าคนฉลาดและคนเก่งจะย้ายออกไปต่างประเทศกันหมด นอกจากนี้ยังมีความล้มเหลวทางสาธารณสุขที่คนติดไวรัสทั้งเจ็บและล้มตายกันมาก ซึ่งน่าห่วงมากเพราะยังมีปริมาณเพิ่มขึ้นตลอด

 

ความล้มเหลวทางการเมือง การเมืองย้อนยุคไป 30 ปี มีพรรคเล็กพรรคน้อยเต็มไปหมด ไม่สามารถดำเนินนโยบายได้ พรรคร่วมรัฐบาลขัดแย้งหนัก รัฐธรรมนูญมีปัญหามากแต่ไม่ยอมแก้ไขเพราะกลัวเสียอำนาจ มี 250 สว. ตั้งเองเลือกตัวเองเป็นนายกฯ รักษาอำนาจทั้งที่บริหารประเทศได้ย่ำแย่จนประชาชนไม่พอใจและได้ออกมาประท้วงขับไล่กันจำนวนมาก

 

นี่เป็นความล้มเหลวหลักๆ ที่เห็นได้ชัด และยังมีความล้มเหลวด้านอื่นๆอีกมาก

 

อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการปฏิวัติ ประเทศไทยคงพัฒนาไปกว่านี้มาก ประเทศคงมีรถไฟความเร็วสูงไป เชียงใหม่ และ หนองคายเชื่อมต่อประเทศจีนไปแล้ว ภาคเหนือและภาคอีสานจะมีการพัฒนาอย่างมาก มีการบริหารจัดการน้ำที่ดี ไม่ต้องมากังวล น้ำท่วม น้ำแล้ง กันทุกปี เด็กไทยจะมีความสามารถทางด้านเศรษฐกิจดิจิตอลจากโครงการแจกแท็บเล็ต และน่าจะต้องมีบริษัทเทคโนโลยีระดับยูนิคอร์นเกิดขึ้นกันมาก ซึ่งหากจำกันได้เศรษฐกิจไทยในปี 2555 ภายหลังจากปีน้ำท่วมเศรษฐกิจไทยขยายตัวถึง 7.2% จากนโยบายต่างๆที่รัฐบาลสมัยนั้นนำเสนอไว้และทำได้จริงทุกนโยบาย จนมาปี 2556 มีการประท้วงโดยมีข้อสงสัยว่าจะร่วมมือกันเพื่อนำไปสู่การทำปฏิวัติจึงทำให้เศรษฐกิจไทยแย่ลง และ แย่ลงมาตลอดหลังการปฏิวัติ ดังนั้นหากไม่มีปฏิวัติ คนไทยคงมีความสุขกว่านี้มาก

 

ครบ 7 ปีของการปฏิวัติ ประเทศไทยได้เสื่อมถอยลงทุกด้าน พลเอกประยุทธ์พิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้นำที่ไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอและตามโลกไม่ทัน อีกทั้งยังไม่สามารถที่จะแยกแยะลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆได้  หากพลเอกประยุทธ์ยังคงดื้อรั้นที่จะเป็นผู้นำต่อไป ประเทศไทยจะยิ่งย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ และจะทำให้เกิดหนี้สินล้นประเทศและประเทศจะเสียหายจนเกินเยียวยาได้ รัฐบาลในอนาคตจะประสพยากความลำบากอย่างมากในการแก้ปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ หรือ อาจจะแก้ไม่ได้เลยถ้าพลเอกประยุทธ์ยังคงเป็นผู้นำอยู่ เพราะพลเอกประยุทธ์จะสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ


“เพื่อไทย” ห่วง “ประยุทธ์” สร้างหนี้ล้น ลูกหลานลำบาก ชี้ ไม่เปลี่ยนผู้นำประเทศลงเหว

 



(25 พฤษภาคม 2564) นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า 7  ปีของการเป็นนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มาพร้อมกับฉายาดีแต่กู้ ไม่ใช่เวลาจะมาอวดหรือมาโชว์ผลงานรัฐบาล แต่ต้องขอสำนึกจากรัฐบาลที่ยังไม่ออกมารับผิดชอบต่อชีวิตคนไทยทั้งประเทศ ที่ปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญกับโรคโควิด-19 โดยไม่ได้วางแผนรับมือปกป้องชีวิตประชาชน ไม่จัดวัคซีนให้ทันต่อสถานการณ์ รัฐบาลต้องรับผิดชอบ แต่วันนี้เรากลับเจอรัฐบาลที่ไม่รับผิดชอบ เสียดายโอกาสประเทศ มีหนี้หัวโตมองไม่เห็นอนาคตลูกหลาน

 

“ขอเวลาอีกไม่นาน เปิดเพลงให้ประชาชนฟังมา 7 ปี ไม่นานถึงขนาดคนจนจะหมดประเทศท่านและคณะก็ยังอยู่ จนเปลี่ยนหัวหน้าทีมเศรษฐกิจจาก ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล มาเป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ต่อด้วยนายปรีดี ดาวฉาย และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ คนปัจจุบัน แต่ท่านไม่ไว้ใจใคร กุมบังเหียนคุมเศรษฐกิจเอง คนไทยสำลักความสุขเป็นหนี้กันถ้วนหน้า พล.อ.ประยุทธ์ ใช้งบประมาณประเทศเกือบ 21 ล้านล้านบาท แต่ขับเคลื่อนประเทศได้เพียง 3 ล้านล้านบาท มีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย หนี้สาธารณะทะยานสูง งบประมาณปี 2564 ใช้ไปไม่คุ้มค่า กู้เงินมา 1 ล้านล้าน ที่ให้เหตุผลว่า กู้มาเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยาประชาชนในช่วงวิกฤติโควิด-19 แต่กลับไม่ครอบคลุม ไม่มีการวางแผนรับสถานการณ์ ใช้วิธีแจกเงินแบบไร้ทิศทาง ไม่ทันความเดือดร้อนของประชาชน ต้องถูกด่าก่อนจึงจะแจก และนี่ยังจะมาลักหลับด้วยการออก พ.ร.ก.เงินกู้ 7 แสนล้านโดยไม่ผ่านกลไกสภาฯ ทำเหมือนสมัยยึดอำนาจที่ไม่ต้องรอการตรวจสอบ ถึงขั้นที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องไปยื่นศาลปกครองให้เพิกถอนการออกพ.ร.ก.กู้เงิน เพราะเชื่อว่าเป็นกลไกเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ นี่หรือคือผลงานที่คนในรัฐบาลออกมาชื่นชมว่าผลงานรัฐบาลตลอด 7 ปีดีเยี่ยม ยอดเยี่ยมตรงไหนมีแต่ยอดแย่ ถ้าได้รางวัลคงได้เพียงรางวัลบู้บี้เท่านั้น

 

“สมัยนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นำการปราบปรามยาเสพติด มาเป็นวาระแห่งชาติ ทำทุกนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ทำได้จริง ขึ้นเงินเดือนผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท, ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท, พักหนี้เกษตรกรรายย่อย, เงินเพิ่มกองทุนหมู่บ้าน, ตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัดละ 100 ล้านบาท, ขยายกองทุนพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน หรือเอสเอ็มแอล ทำได้หมด พอตัดภาพมาที่ยุคพล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่ยุคคสช.มาทำอะไรได้บ้าง สิ่งที่ทำได้คือ ยึดอำนาจและดำเนินคดีนางสาวยิ่งลักษณ์ ยึดทรัพย์ จนศาลปกครองกลางสั่งยกเลิกคำสั่งให้ 'ยิ่งลักษณ์' ชดใช้ 35,000 ล้านบาท-เลิกอายัดทรัพย์ คดีจำนำข้าว ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรจากรัฐบาล ณ ปัจจุบัน

 

“วันนี้สิ่งที่คนไทยต้องเสียคือเสียโอกาส จากเดินนำต้องมาเดินหลังสุดเพราะปฏิวัติ ไม่มีใครคบค้าสมาคม มีปัญหาค้าขายไม่ได้ ผู้นำกู้เก่งแต่หาเงินไม่เก่ง หนี้ท่วม ถึงขั้นที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ออกแรงเตือนว่าการกู้เงินเพิ่มอีกถึง 7 แสนล้านบาทจะยิ่งทำให้หนี้สาธารณะพุ่งทะลุเกิน 9 ล้านล้านบาท และหนี้จะทะลุเกิน 60% ของจีดีพี เพราะการเก็บรายได้ในปีนี้จะขาดมากกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้สถานะทางการคลังของไทยย่ำแย่ลงไปอีก นั่นหมายถึงประเทศและลูกหลานรุ่นต่อไปต้องแบกหนี้หัวโต ขณะที่ตอนนั้นพวกท่านคงล้มหายตายจากไปหมดแล้ว

 

“เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทที่กู้มาเพียงพอสำหรับการดูแลประชาชนและจัดหาวัคซีนที่ดีให้กับประชาชน แต่วันนี้ประชาชนกลับต้องเผชิญกับสายพันธุ์ของโควิดทุกสายพันธุ์แต่กลับเจอวัคซีนที่ประชาชนไม่มั่นใจ แถมยังมาเจอนายกรัฐมนตรีฉีดแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 ในวันที่ประชาชนรอฉีดแอสตร้าเซนเนก้า แต่ไม่มีสำหรับประชาชน วันนี้ประชาชนอยากมีวัคซีนทางเลือก เพราะทุกคนอยากมีทางรอด ไม่ใช่รอดเพียงเพราะการการันตีจากรัฐบาล

 

“มีอยู่เรื่องเดียวที่รัฐบาลนี้ประสบความสำเร็จ อยากสงบให้จบที่ลุงตู่ สงบจริงๆ หันไปทางไหนเงียบสงบราวป่าช้า ไม่มีใครทำได้ ยุคลุงตู่ทำได้จริง ขนาดพัทยาเมืองที่ไม่เคยหลับไหล จะต้องสงบนิ่ง กรุงเทพมหานครเมืองฟ้าอมรหันไปทางไหนเงียบสนิท ร้านค้าในตำนานทยอยปิดตัว หนี้สินล้นพ้นตัว คนถึงร้องเรียกหาผู้นำประเทศอย่างพี่โทนี่ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ออกมาแนะและห่วงใยประชาชนชี้ทางรอดให้ประเทศ ถ้าลองนำวิธีคิดมาปฏิบัติจะฟื้นเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างแน่นอน เสียดายโอกาสประเทศไทย วันนี้ยังไม่สาย พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกเถอะค่ะ อย่าทิ้งมรดกบาปไว้ให้ลูกหลานต่อไปอีกเลย “นางสาวตรีชฎา กล่าว


กิตติพงศ์ รวยฟูพันธ์ : แอปไม่พร้อม? วัคซีนไม่พอ?

 


"แอปไม่พร้อม? วัคซีนไม่พอ?"

 

 การบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลที่ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อทั้งเศรษฐกิจและชีวิตประชาชนอย่างมหาศาล

 

 จากที่ผมลงพื้นที่มาตลอด ได้พูดคุยกับพี่น้องประชาชนในเขตทุ่งครุเรื่องการระบาดของโควิด-19 และการฉีดวัคซีน หลายคนบอกว่าอยากฉีด ถึงจะเป็นวัคซีนที่ไม่มีสิทธิเลือกก็ตาม

 

 แต่ก็จำเป็นต้องฉีด เพื่อลดอาการติดเชื้อรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นอย่างหนัก ยิ่งตอนนี้ที่ทุ่งครุพบคลัสเตอร์ใหม่ (ข้อมูล ณ วันที่ 24 พ.ค. 64) ความต้องการฉีดวัคซีนยิ่งเพิ่มขึ้น

 

 แต่ปัญหาอยู่ตรงที่การต้องจองวัคซีนผ่านทางแอปฯและ LINE OA "หมอพร้อม" ที่แม้ช่วงเดือนพ.ค.จะให้เฉพาะผู้สูงอายุเกิน 60 ปี และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคลงทะเบียนจองก่อน แต่ก็ต้องยอมรับว่าผู้สูงอายุหลายท่านใช้เทคโนโลยีไม่เป็น แม้จะมีช่องทางอื่น อย่างการจองผ่านอสม.ก็ตาม แต่ก็ทำให้หลายท่านพลาดการจอง หรือถึงจองได้ก็ยังคงมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนวัคซีนผิดพลาด(ที่หมอพร้อมออกมาบอกภายหลังว่าเป็นการทดลองระบบการแจ้งเตือน?) การถูกเลื่อนวันฉีด การถูกยกเลิกวันจอง ฯลฯ

 

 นอกจากปัญหา "หมอพร้อม" ที่ไม่พร้อม อีกปัญหาคือวัคซีนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ยิ่งการระบาดรุนแรงขึ้น คนยิ่งต้องการวัคซีนมากขึ้น หากจะนับตั้งแต่เริ่มฉีดวัคซีน-19 ในไทย มีผู้ที่รับวัคซีนครบทั้ง 2 เข็มเพียง 1-2% ของประชากรไทยทั้งหมดเท่านั้น ถือว่ายังเป็นจำนวนน้อยมาก

มาพูดถึงวัคซีนที่รัฐบาลนำเข้า อย่าง Sinovac ที่จะถูกนำมาฉีดให้ประชาชนไทย ได้รับการรับรองจากอย.ไทย แต่ประเทศในยุโรปกลับไม่อนุมัติให้ผู้ที่ฉีดวัคซีน Sinovac เข้าประเทศ เพราะ WHO ยังไม่รับรอง ซึ่งในข้อนี้ รัฐบาลก็ยังไม่ได้ออกมาแจ้งอย่างตรงไปตรงมา ว่าทำไมยังคงยืนยันที่จะสั่ง Sinovac มาฉีดให้ประชาชน ในเมื่อยังไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

 

วัคซีนอีกหนึ่งตัวที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ AstraZaneca ที่วางแผนจะนำมาฉีดให้กับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่หลายโรงพยาบาลก็เลื่อนฉีดเข็มที่ 2 ออกไป เพราะไม่มีวัคซีน โดยรัฐก็ยังคงไม่ให้ความกระจ่างถึงเหตุการณ์การเลื่อนฉีดวัคซีน AstraZaneca แต่อย่างใด

 

นอกจากวัคซีนจากรัฐบาลไทยทั้ง 2 ชนิดข้างต้น รัฐบาลยังยอมไฟเขียวในนาทีจวนตัว ให้รพ.เอกชนนำเข้าวัคซีนทางเลือกได้ (แต่ยังต้องซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรม) แน่นอนว่าหากจะฉีดกับทางรพ.เอกชน ประชาชนจะต้องควักกระเป๋าจ่ายเอง ซึ่งปัจจุบัน อย. ก็ได้ขึ้นทะเบียน วัคซีน mRNA-1273 ของ Moderna เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าวัคซีน Moderna จะเข้าไทยได้ภายในเดือนต.ค. เป็นต้นไป

 

การบริหารจัดการการจองวัคซีนที่ไร้ประสิทธิภาพ การขาดวัคซีนทางเลือก การกระจายวัคซีนล่าช้า ความไม่พร้อมต่างๆ เหล่านี้ สะท้อนถึงความล้มเหลวของรัฐบาลชุดนี้

 

รัฐบาลควรออกมาขอโทษและรับผิดชอบต่อการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ จนส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประชาชน ยิ่งช้ามากเท่าไหร่ ยิ่งสูญเสียมากเท่านั้น สูญเสียทั้งชีวิต เงินทอง ความหวัง ความมั่นใจ

จะต้องรอให้เสียหายอีกเท่าไหร่ ถึงจะยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง? ถ้าฝีมือไม่ถึง ไม่มีฝีมือในการบริหารประเทศและแก้ปัญหา ก็ควรลาออกแล้วปล่อยให้คนที่มีความสามารถมากกว่านี้มาบริหารแทน

 

#ไอซ์อาสา

#ทุ่งครุต้องดีกว่านี้

#พรรคเพื่อไทย

https://www.facebook.com/111067427367211/posts/280784487062170/

 



 



“วิชาญ มีนชัยนันท์” เรียกร้องรัฐและกทม. รีบเยียวยา “แรงงานเมืองกรุง” ตกงานขาดรายได้ ก่อนจะอดตายทั้งครอบครัว

 



(24 พฤษภาคม 2564) นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานโซน 3 กรุงเทพ พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวประจำสัปดาห์เรื่องให้ตัวแทนและว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.พรรคเพื่อไทยลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนในช่วงโรคระบาดโควิด-19 ว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับการร้องเรียนเรื่องเศรษฐกิจปากท้องของแรงงานรายวันในเขตกรุงเทพมหานครมากที่สุด เนื่องจากบริษัท ร้านค้า ร้านอาหารในเขตกรุงเทพมหานคร ต้องหยุดงานชั่วคราว ถ้าเป็นลูกจ้างรายวันที่ย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพ ยังสามารถเดินทางกลับไปอาศัยอยู่บ้านต่างจังหวัด ยังพอมีสวนกล้วย ไร่นา อย่างน้อยที่สุดไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน แต่สำหรับแรงงานคนกรุงเทพ ที่ต้องเช่าบ้านอยู่ ต้องเลี้ยงดูครอบครัว  ยกตัวอย่างเช่น เขตคลองสาน พบลูกจ้างรายวันตกงาน อาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ มีคุณพ่อเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถย้ายไปอยู่ไหนได้ มีลูกสองคนต้องจ่ายค่าเทอมในปีการศึกษาใหม่ แต่ตนเองตกงานขาดรายได้ตั้งแต่เดือนมีนาคม ขาดโอกาสเข้าถึงการเยียวยาจากภาครัฐผ่านระบบแอปพลิเคชันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่ง หรือเราชนะ ซึ่งเขาไม่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่จะไปลงทะเบียนใดๆ  รัฐจึงควรต้องบรรเทาความเดือดร้อนและหามาตรการในการให้คนกลุ่มนี้เข้าถึงความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพื่อให้เขาสามารถประคองชีวิตในช่วงที่ยากลำบากไม่จมลงไปพร้อมกับวิกฟติโควิดรอบนี้




“รัฐและกรุงเทพมหานคร ต้องมีมาตรการช่วยเหลือแรงงานรายวันตกงานเหล่านี้ด่วนที่สุด เขาไม่สามารถรับการเยียวยาผ่านแอปพลิเคชันใดๆ ก็ควรให้เขามายื่นคำร้องและขอความช่วยเหลือผ่านสำนักงานเขตทุกเขตในกรุงเทพมหานคร จะแจกเงินช่วยเยียวยาหรือมาตรการใดสุดแท้ แต่ต้องทำโดยเร็วที่สุดก่อนที่ลูกจ้างรายวันในเมืองหลวงจะอดตายกันทั้งหมด” นายวิชาญ กล่าว.


17 ปีความจริงปรากฏ! "ไพศาล พืชมงคล" ยืนยันชัดเจน "ทักษิณ ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์กรือเซะ!!!" ย้ำไม่ได้เกี่ยวข้องและไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ

  02 ธ.ค. 2564 - นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์เฟซบุ๊กในสหัวข้อ “ทักษิณไม...